การตัดสินใจลงทุนนั้น สิ่งที่มีประโยชน์และเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจก็คือ “ข้อมูลต่างๆ” เพราะฉะนั้นนักลงทุนที่ดี ต้องศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบนะครับ
ต้องยอมรับว่าการลงทุนในขณะนี้ที่ดีที่สุดคือ การลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด ซึ่งต่างกับการลงในรูปแบบอื่น เช่น เงินฝากออมทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ ร้อยละ 0.1250 - 0.7500 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำชนิด 3 เดือนอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.2500 - 1.500 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำชนิด 6 เดือน ร้อยละ 0.2500-1.6000 ต่อปี และเงินฝากประจำชนิด 12 เดือน ร้อยละ 0.2500-1.7000 ต่อปี
หมดยุคในอดีตที่ใครมีเงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา มีเงินในบัญชีก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลยนั่งรอนอนรับดอกเบี้ยสบายใจ แต่ปัจจุบันหาได้เป็นอย่างนั้นไม่ดอกเบี้ยที่ได้รับน้อยนิดตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้นแทบจะไม่พอ แถมบ้างครั้งยังต้องกินเงินต้นเพื่อปากท้องในปัจจุบัน
การลงทุนในยุคปัจจุบันในรูปของการเข้าไปซื้อหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการซื้อขายผ่านโบรคเกอร์โดยตรงจึงเป็นอีกวิธีทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ความยากและท้าทายนักลงทุนมือใหม่หรือมือเก่าคือจะเลือกซื้อหุ้นอะไรดี เลือกหุ้นที่เป็น Top 10 ประจำวันก็เสี่ยง เนื่องจากราคาผันผวนค่อนข้างมากหุ้นบางตัวเข้าข่ายการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรโดยเฉพาะเมื่อเข้าไปอ่านงบการเงินแทบลมจับ.........ไม่มีทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้เลย หนำซ้ำยังมีแต่หนี้สินอีลุงตุงนังเข้าไปอีกจนส่วนของผู้ถือหุ้นเข้าใกล้ศูนย์บาทหรือติดลบ แต่นักลงทุน(พี่เม่า) ก็ยังเข้าไปซื้อขายกันอีกเนื่องจากใช้ต้นทุนน้อยเงินเพียงไม่เท่าไหร่ก็ไปซื้ออขายได้แล้ว แต่เมื่อราคาหุ้นขยับแค่ห้าสิบสตางค์หรือบาทสองบาทก็ได้กำไรเกือบร้อยสองร้อยเท่าจึงรีบปล่อยขายเพื่อทำกำไร หารู้ไม่ว่าถ้าพลาดท่าวันใดปล่อยไม่ทันหายนะเกิดขึ้นทันที เพราะไม่รู้ราคาที่จะทำกำไรได้จะกลับมาอีกเมื่อไหร่แทบไม่มีใครรู้เลย
ดังนั้นนักลงทุนที่ดีไม่ควรมองข้ามข้อมูลทางการเงิน ใส่ใจซักนิดครับก่อนเข้าไปลงทุนเข้าใน Web site ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครับ ไล่ดูพื้นฐานและปัจจัยต่างๆ ในประกอบการตัดสินใจสักนิด ไม่ว่าจะเป็น
• งบแสดงฐานะการเงิน เพื่อดูความมั่งคั่งของบริษัทที่จะไปลงทุนว่ามีสินทรัพย์รวมมีอะไรบ้างราคาเท่าไร บริษัทมีที่มีทางมีที่ดินที่ตั้งสำนักงานถาวรหรือไม่
• อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เป็นเท่าไร
• เงินสดเงินฝากธนาคารมีให้ใช้ไม่ขาดมือหรือขาดสภาพคล่องหรือไม่
• สินค้าคงเหลือหรือรายได้ลูกหนี้จากการบริการและมีอัตราการหมุนเวียนสินค้าเป็นอย่างไร
• หนี้สินมีอะไรบ้างในงบแสดงฐานะการเงิน และต้องจ่ายชำระในอนาคตอันใกล้เป็นอย่างไรโดยการดูอัตราส่วนสภาพคล่องหรือ Current Ratio
• ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นอย่างไร
• Debt to equity ratio อยู่ในสัดส่วนอัตราเท่าใด
• งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ เพื่อดูผลการดำเนินงาน เข้าไปส่องดูกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสำหรับงวดเป็นอย่างไร แนวโน้มรายได้เพิ่มหรือลดในงวดที่ผ่านมา ต้นทุนขายหรือบริการ ค่าใช้จ่ายในการขายหรือบริหารเมื่อเทียบกับงวดก่อนเป็นอย่างไร แต่ถ้านักลงทุนท่านใดใจร้อนจะเป็นดูงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จก่อนดูงบแสดงฐานการเงินก็ไม่ว่ากัน
เพียงแค่นี้ท่านก็จะได้ข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจลงทุนที่เรียกว่า“การลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า (Value Investing)” หรือที่เรียกกันแบบย่อๆ ว่า “การลงทุนหุ้นแบบ VI” และเราจะเรียกนักลงทุนแบบ VI ว่า “Value Investor.” เท่านี้ท่านก็พอจะสบายใจระดับหนึ่งในการลงทุน แม้ในยามที่สภาพเศรษฐกิจผันผวนครับ.....
+++++++++++++++++++++++++
ผู้เชียน : นายพจน์ อัศวสันติชัย รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท สอบบัญชีธรรมนิติ จำกัด
ประสบการณ์ด้านการตรวจสอบมากว่า 20 ปี ปัจจุบันเป็นผู้สอบบัญชีตลาดทุน