178 อาคารธรรมนิติ ชั้น 6-7 ซอยเพิ่มทรัพย์ (ประชาชื่น20) ถนนประชาชื่น แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร 10800

ข่าวสารวิชาชีพ

AI ใช้อย่างไรให้เหมาะ ... เพื่อธุรกิจรอดพ้นจาก Digital Disruption

การปรับตัวของธุรกิจเมื่อก้าวเข้าสู่ยุค Digital Disruption ปี 2020 ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการหรือผู้บริหารต้องใส่ใจ เนื่องจากเป็นสภาวะที่มีผลให้ธุรกิจถูกทำให้หยุดชะงักหรือมีความล้าหลังกว่าคู่แข่ง ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและเข้ามาแทรกแซงวิถีแบบเดิม ๆ ดูเหมือนว่าจะมีธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายประเภทถูกผลกระทบให้ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย 

การที่จะทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้นต้องอาศัยเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในการสื่อสาร เทคโนโลยี Cloud, Big Data, Robotics, Machine Learning, AI เป็นต้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาหลายๆ สื่อในแวดวงธุรกิจมีการกล่าวถึงและให้ความสนใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว

โดยครั้งนี้ขอยกตัวอย่างเทคโนโลยี AI ที่ย่อมาจาก Artificial Intelligence นับเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงใน 2-3 ปีที่ผ่านมา และจะยังมาแรงในอนาคตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยมีผลการสำรวจของสถาบัน IMC ถึงการตอบรับกับยุคแห่ง AI ในองค์กรต่าง ๆ ของประเทศไทยจำนวน 113 แห่งพบว่า มีอัตราที่องค์กรมีความรู้ความเข้าใจ AI แบ่งเป็น 3 ระดับดังนี้

 

 

และจากการสำรวจพบว่า มีผู้บริหารระดับสูงบางส่วนที่ยังไม่เห็นประโยชน์ หรือยังไม่ตระหนักถึง AI ที่จะเข้ามามีผลกระทบต่อธุรกิจ ซึ่งการที่ผู้บริหารหรือผู้ประกอบการขาดการเรียนรู้หรือปรับตัวให้เท่าทันโลกและคู่แข่ง นับว่ามีความเสี่ยงที่ธุรกิจอาจถูก disrupt ได้ในอนาคต โดยถ้าหากอยากให้ธุรกิจรอดพ้นจากการถูก Disrupt จะใช้ AI อย่างไรให้เหมาะสมกับธุรกิจ สามารถนำข้อมูลที่จะกล่าวต่อไปนี้ไปพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจดู

 

1. วิเคราะห์ก่อนว่า ธุรกิจที่ทำอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด

หากยังไม่เคยคิดในเรื่องนี้ คุณควรมีการเริ่มได้แล้ว เพราะจากปีที่ผ่านมาคงเห็นแล้วว่า มีสถานประกอบการหลายแห่งมีการปิดตัวลง จากปัจจัยหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจหรือการแข่งขันทางธุรกิจ หากผู้ประกอบการทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจประเภทนั้นๆ จะสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างเหมาะสม ขอเพียงรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์การแข่งขัน และมองหาช่องทางที่จะเลือกใช้ให้ถูกต้อง

เนื่องจากผู้บริโภคมีเครื่องมือต่างๆ ที่สามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง สามารถเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และยังสามารถทำธุรกิจได้ด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะเทคโนโลยี ทำให้ลูกค้ามีความคาดหวังต่อธุรกิจในปัจจุบันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเร็ว (Speed), ความโปร่งใส (Transparency), รวมไปถึงด้านการทำ Personalization นอกจากนี้ไม่เพียงแต่จากลูกค้าเท่านั้นที่ทำให้หลายธุรกิจต้องมองหาโมเดลธุรกิจใหม่ ผู้เล่นใหม่จำนวนมากที่เข้ามาทำธุรกิจก็เป็นตัวเข้ามา disrupt เช่นกัน ดังนั้นธุรกิจในปัจจุบันต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ต้องเตรียมตัวให้พร้อม มิเช่นนั้นจะโดน disrupt เสียเอง

 

2. เรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป 

การทำความเข้าใจผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ประกอบการจะต้องปรับธุรกิจให้เข้ากับเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย ที่ในปัจจุบันมักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งอัตราการใช้โซเชียลมีเดียในเมืองไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย 

เนื่องจากลูกค้ามีความคาดหวังต่อธุรกิจในปัจจุบันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเร็ว (Speed), ความโปร่งใส (Transparency) และอื่นๆ หากอยากพาธุรกิจเติบโตสวนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจ อาจต้องเพิ่มช่องทางการขาย การชำระเงินรวมไปถึงบริการ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยหรือผสมผสาน และให้ความสำคัญกับสื่อทั้ง Offline และ Online ให้ตอบโจทย์เรื่องการประหยัดเวลา และประหยัดค่าดำเนินการอื่นๆ เพราะในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแบบนี้ กำลังซื้อของผู้บริโภคก็น้อยลงไปด้วย หากเราสามารถช่วย save cost เล็กๆ น้อยๆ ได้ ก็จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้มากขึ้น ซึ่งธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ตามความคาดหวังของผู้บริโภคได้ก็จะมีความปลอดภัยระดับหนึ่งเลยค่ะ

 

3. ทำความเข้าใจ AI เพื่อนำไปใช้อย่างเหมาะสม

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสิ่งที่ AI จะเข้ามาทดแทนนั้นสามารถเป็นในรูปแบบของลักษณะงานที่ทำมากกว่าจะเข้ามา Disrupt อาชีพทั้งอาชีพ ยกตัวอย่างงานที่ AI จะเริ่มเข้ามาทดแทน เช่น งานประเภทผู้ช่วย, งานด้านการคำนวณ, งานด้านการจัดเตรียมเอกสาร และงานด้านการนัดหมาย ซึ่งลักษณะงานที่กล่าวมานี้อาจแทรกตัวอยู่ในอาชีพต่าง ๆ อาชีพอาจไม่ได้ถูก Disrupt เสียทีเดียว เพราะเจ้าหน้าที่ของแต่ละสายอาชีพนั้นจะยังมีตัวตนอยู่ เพียงแต่ว่าต้องรู้จักปรับตัวให้สามารถใช้งาน AI และทำงานร่วมกับ AI เพื่อให้ได้รับประโยชน์และช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น

การเริ่มต้นนำ AI มาใช้ในองค์กรเพื่อการพัฒนาธุรกิจ ควรเริ่มต้นจากสิ่งสำคัญ 3 ส่วนคือ   

1) การตั้งคำถามเพื่อหาวัตถุประสงค์ของการนำ AI ไปใช้ในธุรกิจ

ประโยชน์ของ AI สามารถนำมาใช้ได้ในหลายภาคส่วนขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน สำหรับกลุ่มธุรกิจที่เริ่มต้นเรียนรู้การใช้งาน ควรเริ่มต้นจากปัญหาหรือความผิดพลาด การเริ่มต้นจากปัญหาจะทำให้รู้ว่าต้องใช้ AI แบบไหน 

2) กำหนดบทบาทของ AI ที่จะนำมาใช้ในธุรกิจ

โดยปัจจุบัน AI มีรูปแบบการทำงานที่อยู่ในภายใต้การป้อนข้อมูลหรือคำสั่ง แต่มนุษย์สามารถคิดได้ไม่จำกัด AI จึงยังต้องทำงานร่วมกับคน เพราะในบางครั้งระบบต้องถูกดูเเลและตรวจเช็คโดยคนเพื่อความถูกต้อง

3) การสร้างทีมงาน

โดยนำความสามารถของ AI มาใช้ ต้องอาศัยการทำงานเป็นทีม เพราะการออกแบบและสร้างระบบของ AI ต้องใช้ความรู้จาก 3 ส่วน คือ Domain Expertise , Computer Science , และ Mathematics เพื่อสร้าง AI Scientist หรือ Data Scientist ขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจในการประยุกต์ใช้งาน  AI  โดยการสร้างทีมงานของแต่ละธุรกิจ อาจเป็นการจ้างบุคคลภายนอก (outsource) หรือการดำเนินการเองในบริษัท (in house) หรือบางธุรกิจพบซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่ตอบโจทย์ สามารถรองรับการทำงานได้ดี ก็จะใช้วิธีจัดหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปนั้นมาใช้งานเลย แต่ก็ต้องใช้เวลาในการ Implement อยู่พอสมควร

จากที่กล่าวมาผู้อ่านคงทราบกันแล้วว่าในปัจจุบัน  Digital disruption ส่งผลกระทบไม่เพียงแต่โมเดลธุรกิจ ที่ต้องเปลี่ยนไปตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป แต่ยังรวมไปถึงการปรับใช้เทคโนโลยีในองค์กร และการสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาใหม่ เป็นสิ่งสำคัญต่อธุรกิจในยุคดิจิทัล เพื่อให้มีการพัฒนาและก้าวทันโลกมากขึ้น โดยบางองค์กรที่มองว่ายุ่งยากและไม่ปรับตัว ก็อาจมีรายได้ลดน้อยลงไปต่างจากคู่แข่งที่มีการปรับตัวให้เป็นไปตามกระแสโลกได้นั่นเอง 

 

ผู้เขียน : ชฎาพา สุขสมัย บริษัท สอบบัญชีธรรมนิติ จำกัด

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://www.brandbuffet.in.th/2019/11/4-things-to-do-before-2020-disruption-imc-surveys/   เข้าถึง 30 ธันวาคม 2562

 

Transparency Report

Read our 2024 Transparency Report

transparency

เกี่ยวกับเรา

บริษัทรับตรวจสอบบัญชี ให้บริการด้วยนักวิชาอาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบและการบริการให้ความเชื่อมั่นอื่น

Privacy Notice | Cookie Policy

etax