ปัจจัยที่ต้องนำมาประกอบการพิจารณาการรับรู้รายการ สินทรัพย์สิทธิการใช้ (ROU) ตาม TFRS 16 ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่หากเกิดสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทมีการทบทวนข้อกำหนดในสัญญาอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทพึงควรระวัง 3 เรื่อง คือ อายุสัญญาเช่า อัตราคิดลด และการเปลี่ยนแปลงสัญญา ซึ่งมีรายละเอียด มีดังนี้
1. การประมาณการอายุของสัญญาเช่า
อายุของสัญญาเช่าตามหลักการของ TFRS 16 ไม่ใช่อายุที่ระบุไว้ตามสัญญา ผู้เช่าต้องพิจารณาข้อเท็จจริง และสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ ทำให้เกิดสิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจสำหรับผู้เช่าในการใช้สิทธิเลือกในการขยายอายุสัญญาเช่าหรือไม่ใช้สิทธิเลือกในการยกเลิกสัญญาเช่า ดังนั้น สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณา ได้แก่
1.1 เป็นสัญญาที่บอกเลิกไม่ได้ หรือหากบอกเลิกได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องจ่ายค่าปรับในจำนวนเงินที่มีสาระสำคัญ จนทำให้แน่ใจว่ากิจการ ไม่ใช้สิทธิในการบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด
1.2 หากในสัญญาระบุได้ว่า สามารถที่จะต่ออายุการเช่าออกไปได้อีกและมีสถานการณ์ที่ค่อนข้างแน่ว่ากิจการจะใช้สิทธิในการต่อสัญญาออกไป เช่น อัตราค่าเช่าที่คิดเป็นอัตราที่ต่ำกว่าราคาท้องตลาด ทำเลที่ตั้งเป็นทำเลทอง เอื้ออำนวยต่อการดำเนินงาน จำนวนเงินที่ไปลงทุนมีมูลค่าสูงจนทำให้แน่ใจว่ามีการต่อสัญญาออกไปแน่นอน
แต่หากมีสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจว่าจะต่อสัญญาออกไปหรือไม่ ก็ให้รับรู้อายุของสัญญาเช่าเท่ากับระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา ต้องปรึกษาผู้บริหารเพื่อให้ทราบข้อมูลและกลยุทธ์ของกิจการ
*** และสิ่งที่ควรระวังเพิ่ม หากสัญญาเช่ามีอายุ 3 ปี แต่บริษัทคาดว่าจะไม่ต่อสัญญาเช่า การประมาณอายุการใช้ประโยชน์ในสินทรัพย์ไม่ควรเกินอายุของสัญญาเช่า
2. อัตราคิดลด
ณ วันที่สัญญาเช่าเริ่มมีผล ผู้เช่าต้องวัดมูลค่าหนี้สินตามสัญญาเช่าด้วยมูลค่าปัจจุบันของการจ่ายชำระตามสัญญาเช่าที่ยังไม่ได้จ่ายชำระ ณ วันนั้น การจ่ายชำระตามสัญญาเช่าต้องคิดลดด้วยอัตราดอกเบี้ยโดยนัยของสัญญาเช่า หากอัตรานั้นสามารถกำหนดได้ทุกเมื่อ แต่หากอัตรานั้นไม่สามารถกำหนดได้ทุกเมื่อ ผู้เช่าต้องใช้อัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมส่วนเพิ่มของผู้เช่า
2.1 อัตราดอกเบี้ยโดยนัยตามสัญญา (Implicit interest rate)
ปัญหาในการคำนวณหาดอกเบี้ยโดยนัยตามสัญญาเช่า ซึ่งเป็นการยากที่ผู้เช่าจะทราบข้อมูลได้ เนื่องจากเป็นความลับทางการค้าของผู้ให้เช่า ดังนั้น ผู้เช่าต้องสอบถามผู้ให้เช่าหรือหาดอกเบี้ยที่มีลักษณะใกล้เคียงที่สุดกับการทำสัญญา โดยปกติ การเช่าซื้อรถยนต์ ผู้ให้เช่าจะระบุอัตราดอกเบี้ยโดยนัยไว้ในสัญญา แต่ในสัญญาเช่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ อาจไม่มีระบุไว้ ซึ่งต้องสอบถามข้อมูลเพิ่ม
2.2 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมส่วนเพิ่มของผู้เช่า (Incremental borrowing rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ผู้เช่าจะต้องจ่ายตามสัญญาเช่าที่คล้ายคลึงกัน
เนื่องจากอัตราคิดลดเป็นอีกปัจจัยหลักที่สำคัญ ใน discounted cash flow model ปัญหาที่พบคือ การหาอัตราคิดลดที่เหมาะสมสำหรับสินทรัพย์แต่ละประเภท (asset-specific rate) เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมส่วนเพิ่มของผู้เช่า แทนอัตราดอกเบี้ยโดยนัยตามสัญญา
3. การคำนวณใหม่หนี้สินตามสัญญาเช่า (Remeasurement)
หลังจากวันเริ่มต้นสัญญาเช่า ผู้เช่าต้องวัดมูลค่าของหนี้สินจากสัญญาเช่าใหม่เพื่อให้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลง บริษัทต้องทำการประเมินความถูกต้องและเหมาะสมของปัจจัยต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบการคำนวณใหม่บนสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยรับรู้ผลต่างที่เกิดขึ้นตามข้อกำหนดของมาตรฐาน
ตัวอย่างของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่
1. เปลี่ยนแปลงอายุสัญญาเช่า (ใช้อัตราคิดลดที่ทบทวนใหม่)
2. การประเมินการใช้สิทธิ์ในการซื้อสินทรัพย์ (ใช้อัตราคิดลดที่ทบทวนใหม่)
3. จำนวนที่คาดว่าจะต้องจ่ายภายใต้การรับประกันมูลค่าคงเหลือ (Residual Value) (ใช้อัตราคิดลดเดิม)
4. ค่าเช่าในอนาคตอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในดัชนีหรืออัตราค่าเช่า (ใช้อัตราคิดลดเดิม)
หลักกเกณฑ์ในการพิจารณาว่าต้องใช้อัตราคิดลดเดิมหรือใช้อัตราคิดลด ณ วันที่คำนวณใหม่ ให้พิจารณาว่าสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากการตัดสินใจของฝ่ายบริหารหรือไม่ หากใช่ กิจการควรใช้อัตราคิดลด ณ วันที่คำนวณใหม่ ในการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของ ROU หากไม่ใช่ กิจการควรใช้อัตราคิดลดอัตราเดียวกับที่คำนวณ ณ วันเริ่มต้นสัญญา
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่วนใหญ่ต้องอาศัยดุลยพินิจจากฝ่ายบริหารของบริษัทในการประมาณการ โดยต้องรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การประเมินความสมเหตุสมผลของข้อมูล และต้องประเมินความเพียงพอของการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของประมาณการในงบการเงิน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับประมาณการบัญชี
ผู้เขียน : นันทนภัส วรรณสมบูรณ์ บริษัท สอบบัญชีธรรมนิติ จำกัด